เหว่ยหล่าง 9
ท่านเว่ยหล่างตอนที่ 9
- ท่านเว่ยหล่าง (#โปรดฟังบุญต่างกันกับกุศลที่แท้จริงอย่างไร)
- พระปัญญาเภสัช (ตี้เอ๊ยะซาจั๋ง) ได้นำต้นศรีมหาโพธิ์ จากอินเดียมาปลูกไว้เมืองจีน. แล้วเข้าฌานดูรู้ว่าอีก 170 ปี จักมี “พระโพธิสัตว์” มาบรรลุธรรม ณ ตรงจุดนี้ ท่านจึงได้สร้างวัดไว้ก่อน (ผู้สร้างวัดท่านเว่ยหล่าง) สมัยพระเจ้าเหลียงบู๊ตี่.
- วัดธรรมญาณ ที่รอผู้มาโปรด โดยสลักที่ก้อนหินไว้ นานกว่า170ปีมาแล้ว
- ก็คือรอท่านเว่ยหล่างนั่นเอง ซึ่งสลักไว้ดังนี้.
- "อีกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปีภายภาคหน้า จะมีพระโพธิสัตว์ดำรงกายเนื้ออยู่
- มาโปรดแสดงพระสัทธรรมมหายาน ณ ที่นี้ จะกอบกู้อุ้มเวไนยฯได้ไม่ประมาณ เป็นธรรมราชาผู้ถ่ายทอดพุทธธรรม ถ่ายทอดวิถีจิตจากพระพุทธะโดยแท้
- ท่านเว่ยหล่างบวชแล้ว เทศนาว่า เรื่องการทำกุศลดังนี้..
- สมัยก่อนพระอาจารย์ทวดตักม้อ มหาสังฆปรินายก รับนิมนต์จากองค์ฮ้องเต้
- กระทั่ง ณ วันที่ ๒๑ ค่ำเดือนเก้า สมัยราชวงศ์เหลียงบู๊ตี้ประมาณปีพุทธศักราช ๑๐๗๐ ท่านจึงมาถึงยังฝั่งเมืองกวางโจว
- ขณะนั้น พระเจ้าเหลียงบู้ตี๊ พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาพุทธศาสนามาก ทรงถือศีลกินเจอยู่เป็นประจำ เมื่อข่าวการมาถึงของพระอาจารย์ตั๊กม๊อถูกรายงานไปยังราชสำนัก พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ทรงปิติยินดี ยิ่งจึงได้มีพระกระแสรับสั่งให้อาราธนาเข้าเฝ้าทันที
- ในปีนั้นเองพระอาจารย์ตั๊กม๊อได้รับนิมนต์จากพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ไปยังนานกิงนครหลวงเพื่อถกปัญหาธรรม
- พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ได้ตรัสถามพระอาจารย์ตั๊กม๊อว่า
- "ตั้งแต่ข้าพเจ้าครองราชย์มา ได้สร้างวัดวาอาราม โบสถ์วิหาร และพระคัมภีร์มากมาย อีกทั้งอนุญาตให้ผู้คนได้บวช โปรยทาน ถวายภัตตาหารเจแด่พระภิกษุสงฆ์ ตลอดจนทะนุบำรุงพระศาสนามากมาย ไม่ทราบว่าจะได้รับกุศลมากน้อยเพียงใด? "
- พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า
- "ที่มหาบพิตรบำเพ็ญมาทั้งหมด เป็นเพียงบุญกิริยาทางโลกเท่านั้น ยังมิใช่กุศลแต่อย่างใด"
- การที่ท่านตอบเช่นนั้น ก็เพราะพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ มีความเข้าพระทัยผิด ดั่งที่แม้ปัจจุบันผู้คนก็จะคิดว่า "บุญ" และ "กุศล"เป็นอย่างเดียวกัน จึงเรียกสับสนปนเปกันไป
- แท้ที่จริง การให้ทานเงินทอง วัตถุสิ่งของ อาหาร หรือสร้างวัดวาอาราม ฯลฯ เรียกว่า "บุญ" หมายถึง ส่งที่ทำให้ฟูใจทำให้ใจมีปิติอิ่มเอมเท่านั้น ส่วน "กุศล" หมายถึงสิ่งที่จะช่วยขจัดเครื่องกางกั้น ช่วยให้จิตหลุดรอดไปจากสิ่งครอบคลุมห่อหุ้ม"พุทธะจิตธรรมญาณ"
- ฉะนั้นกุศลที่แท้ คือ ความรู้แจ้งทางจิตใจคือปัญญาอันผ่องแผ้วสมบูรณ์ เป็นความว่าง สงบจากกิเลส
- เวลานั้นพระเจ้าเหลี่ยงบู๊ตี้ ทรงตรัสถามอีกว่า
- "อริยสัจ คืออะไร? "
- พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า "ไม่มี"
- พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงตรัสถามอีกว่า
- "เบื้องหน้าข้าพเจ้านี้ คือใคร?"
- พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า "ไม่รู้จัก"
- พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงได้ยินคำตอบเช่นนั้น ไม่ค่อยพอพระทัย
- พระอาจารย์ตั๊กม๊อ เห็นว่า พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงสั่งสมภูมิปัญญายังไม่แก่กล้าพอ ที่จะบรรลุได้ จึงทูลลาจากไป
- เมื่อท่านเดินทางพ้นจากเมืองไปแล้ว พระธรรมาจารย์ปอจี่เชี้ยงซือ คือ พระเถระผู้ทรงปราดเปรื่องรอบรู้พระไตรปิฎกได้เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลถามพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ว่า
- "พระภิกษุอินเดียรูปนั้น ขณะนี้พำนักอยู่ที่ใด? "
- พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงตรัสว่า
- "จากไปแล้ว.....ท่านเป็นใครหรือ? "
- พระธรรมจารย์ ปอจี่เซียงซือ กราบทูลว่า
- "ท่านคือ พระกวนอิมมหาโพธิสัตว์อวตารมาทีเดียว...ฝ่าพระบาทได้พบท่าน เหมือนไม่ได้พบ ได้เห็นท่าน แต่เหมือนไม่ได้เห็น"
- พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงทราบเช่นนั้นจึงมีพระดำริ จะให้ทหารออกติดตามไปอาราธนาท่านกลับมา ฝ่ายพระธรรมจารย์ปอจีเซียงซือ ได้กราบทูลต่อไปอีกว่า
- "ไร้ประโยชน์...ถึงจะยกทัพไปแสนนาย ท่านก็ไม่กลับมา"
- ต่อมาท่านจึงนั่งหันหน้าเข้าฝารอผู้สืบทอด นั่งนาน 9 ปี
- จึงหันหน้าออกเพื่อรับผู้สืบทอดพงศาธรรมรุ่นที่ 2 คือท่านฮุ่ยเขอ
- ท่านฮุ่ยเขอขอสละชีวิต เพื่อพระธรรมแต่อาจารย์ทวดตักม้อ กล่าวว่า..
- ธรรมะเข้าถึงยากเจ้าจะสละได้หรือ บาปเกิดที่ใดดับที่นั่น จากนั้นท่านจึงตัดแขนถวาย ท่านตักม้อเห็นดังนั้นจึงรับเป็นศิษย์ สืบทอดยาวนานได้ ห้ารุ่น รวมอาจารย์ตักม้อ ถึงท่านเว่ยหล่าง คือรุ่นที่หก นิกายนี้รุ่งเรื่องมากในยุคของท่านเว่ยหล่าง พระสังฆปรินายกรุ่นที่ 6
- หากชอบโปรดกดติดตามเพจนี้เพื่อชมวีดีโอถัดไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น