วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กำเนิดขันทกุมารเทวบุตร

กวนเกษียณสมุทร

กำหนิดพระมารดาโลก

ปรมาจารย์ ตั๊กม้อ

เหว่ยหล่าง 10


ท่านเว่ยหล่างตอนที่10 ตอนจบ 
  • ท่านเว่ยหล่าง(ฝากชมตอนท่านบอกลาและมรณะภาพท่าสมาธิ สะรีระยังคงอยู่เท่าทุกวันนี้)
  • ในขณะที่สังฆปริณายกองค์ที่ ๕ กำลังเผยแผ่ศาสนาอยู่... 
  • มีเด็กหนุ่มกำพร้าคนหนึ่งชื่อ "เว่ยหล่าง" มีอาชีพตัดฟืนขายเลี้ยงมารดาผู้ชรา 
  • ที่ตำบลชุนเชา มณฑลกวางตุ้ง ภาคใต้ของจีน.. เว่ยหล่างได้ยินอุบาสกคนหนึ่ง 
  • สวดวัชรปรารมิตาสูตร หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า "กิมปังปัวเยียปอล่อมิกเก็ง
  • พอได้ยินเท่านั้น ก็เกิดขนลุกชูชัน เกิดศรัทธาอยากจะศึกษาธรรมะเหลือเกิน 
  • แต่ติดขัดที่ไม่มีใครดูแลมารดา จึงรออยู่พักหนึ่ง จนในที่สุดมีผู้ให้เงิน ๑๐ ตำลึง 
  • เพื่อมอบให้มารดาใช้สอยขณะเขาไม่อยู่ เว่ยหล่างจึงเดินทางไปเมืองวองมุย 
  • ใช้เวลาเดินทางถึง ๑ เดือน พอไปถึงก็เข้าไปนมัสการพระสังฆปริณายก 
  • ขอเรียนธรรมะด้วย 
  • "เธอมาจากไหน" ท่านอาจารย์ถาม 
  • "มาจากปักษ์ใต้ครับ" 
  • "คนทางใต้เป็นคนป่าคนดง จะหวังเป็นพุทธะได้อย่างไร" 
  • "คนอาจจะมาจากภาคเหนือภาคใต้ แต่พุทธภาวะไม่มีเหนือ 
  • ไม่มีใต้ มิใช่หรือครับ" เด็กหนุ่มย้อน 
  • ท่านสังฆปริณายกรู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มบ้านอกคนนี้ ได้รู้สัจธรรม 
  • ระดับหนึ่งแล้ว แต่เพื่อมิให้เป็นภัยแก่เขา จึงแสร้งดุให้เขาเงียบเสียง 
  • แล้วให้ไปช่วยทำงานในครัว 
  • วันหนึ่งท่านอาจารย์เรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด ให้แต่ละคนเขียนโศลก 
  • บรรยายธรรมคนละบท เพื่อทดสอบภูมิธรรม ชินเชา (ชินชิ่ว) หัวหน้าศิษย์ 
  • เป็นผู้ที่ใคร ๆ ยกย่องว่าเป็นผู้เข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้งกว่าคนอื่น และมีหวัง 
  • จะได้รับมอบบาตรและจีวรจากท่านอาจารย์แน่ ๆ ได้แต่โศลกบทหนึ่ง 
  • เขียนไว้ที่ผนังว่า 
  • "กาย คือต้นโพธิ์ 
  • ใจ คือกระจกเงาใส 
  • จงหมั่นเช็ดถูเป็นนิตย์ 
  • อย่าปล่อยให้ฝุ่นละอองจับ" 
  • ท่านอาจารย์อ่านโศลกของชินเชาแล้ว ชมเชยต่อหน้าศิษย์ทั้งหลาย 
  • ว่าเป็นผู้เข้าใจธรรมอย่างลึกซึ่ง (แต่ตอนกลางคืนเรียกเธอเข้าไปพบตามลำพัง 
  • บอกว่าชินเชา "ยังไม่ถึง" ให้พยายามต่อไป) 
  • เว่ยหล่างได้ฟังโศลกของหัวหน้าศิษย์แล้ว มีความรู้สึกเป็นส่วนตัวว่า 
  • ผู้แต่โศลกยังเข้าใจไม่ลึกซึ้ง จึงแต่โศลกแก้ เสร็จแล้ววานให้เพื่อนช่วยเขียนให้ 
  • เพราะเว่ยหล่างอ่านหนังสือไม่ออกเขียนไม่ได้ โศลกบทนั้นมีความว่า 
  • "เดิมที ไม่มีต้นโพธิ์ 
  • ไม่มีกระจกเงาใส 
  • เมื่อทุกอย่างว่างเปล่าตั้งแต่ต้น 
  • ฝุ่นละอองจะลงจับอะไร" 
  • ท่านอาจารย์รู้ทันทีว่า ผู้เขียนโศลกเป็นผู้เข้าถึงสัจธรรมสูงสุดแล้ว 
  • จึงถามใครเป็นคนแต่ง พอทราบว่าเว่ยหล่างเด็กบ้านนอกแต่ง จึงสั่งให้ลบทิ้ง 
  • พร้อมดุด่าต่อหน้าศิษย์อื่น ๆ ว่า หนังสือยังอ่านไม่ออกสะเออะจะมาเขียนโศลก 
  • แต่พอคล้อยหลังศิษย์อื่น ท่านอาจารย์เรียกเว่ยหล่างเข้าพบมอบ 
  • บาตรและจีวรให้ (มอบตำแหน่ง) แล้วสั่งให้รีบหนีไปกลางดึก ศิษย์ในสำนัก 
  • รู้ข่าว พากันออกตามล่าเอาบาตรและจีวรคืน เดชะบุญหนีรอดไปได้ 
  • เว่ยหล่างหลบซ่อนอยู่ในป่าเป็นเวลา ๑๕ ปี ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ 
  • เมื่ออายุ ๓๕ ปี แล้วออกเผยแผ่ศาสนาจนกระทั่งอายุ ๗๖ ปี ก็มรณภาพ 
  • ท่านเว่ยหล่างไม่รู้หนังสือ แต่สามารถเข้าถึงธรรมะได้เร็วกว่า 
  • คนที่เรียนแตกฉาน จากประสบการณ์นี้เอง ท่านจึงเชื่อมั่นว่า การศึกษา 
  • ธรรมะกับการบรรลุธรรมเป็นคนละเรื่องกัน นักศึกษาที่ "พลิกตำรา" 
  • ทีละหน้าๆ ไม่นานอาจถูกตำรามัน "พลิก" เอาได้ 
  • เทคนิกการสอนเซ็นของท่านเว่ยหล่างจึงไม่เน้นตำรา ไม่ติดตำรา 
  • แม้ระบบการถ่ายทอดเซ็นโดยการมอบบาตรและจีวร ที่สืบทอดกันมาแต่ 
  • โบราณกาล พอถึงยุคท่านเว่ยหล่าง ท่านยกเลิกหมด ท่านเห็นว่าการมอบ 
  • วัตถุให้แก่กัน ทำให้คนเบาปัญญา ไม่บรรลุธรรม คิดโลภอยากได้แล้วแย่งกัน 
  • ดังที่ท่านเคยประสบมาด้วยตัวเอง การถ่ายทอดควรใช้วิธี "จากจิตสู่จิต" 
  • มากกว่า ใครได้บรรลุธรรม ก็นับว่าเป็นสังฆปริณายกสืบต่อศาสนาทุกคน 
  • มีภาพที่รู้จักดีในหมู่ชาวพุทธเซ็นภาพหนึ่ง เป็นภาพท่านเว่ยหล่าง 
  • ฉีกคัมภีร์ทิ้งกระจุยกระจาย แเสดงว่าการจะเข้าถึงสัจธรรม ต้องทำลาย 
  • ความยึดติดคัมภีร์เสียก่อน นับเป็นภาพที่ท้าทายเอาการทีเดียว 
  • ศิษย์ของท่านคนหนึ่งชื่อ ลินซิ (รินไซ) ไปไกลยิ่งกว่านั้น 
  • คำพูดของท่าน ถ้าชาวพุทธไทยผู้เคร่งครัดได้ฟัง อาจสะดุ้งแปดกลับ 
  • หาว่าคนพูดเช่นนนั้นไม่บ้าก็เมา 
  • ท่านพูดว่าไงนะหรือครับ 
  • "ถ้าคุณพบพระพุทธเจ้ากลางทาง จงฆ่าเสีย" 

จาก พุทธศาสนาทัศนะและวิจารณ์
ของ ร.ศ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก
หากชอบโปรดกดติดตามเพจนี้เพื่อชมวีดีโอถัดไป..

เหว่ยหล่าง 9




ท่านเว่ยหล่างตอนที่ 9 
  • ท่านเว่ยหล่าง (#โปรดฟังบุญต่างกันกับกุศลที่แท้จริงอย่างไร)
  • พระปัญญาเภสัช (ตี้เอ๊ยะซาจั๋ง) ได้นำต้นศรีมหาโพธิ์ จากอินเดียมาปลูกไว้เมืองจีน. แล้วเข้าฌานดูรู้ว่าอีก 170 ปี จักมี “พระโพธิสัตว์” มาบรรลุธรรม ณ ตรงจุดนี้ ท่านจึงได้สร้างวัดไว้ก่อน (ผู้สร้างวัดท่านเว่ยหล่าง) สมัยพระเจ้าเหลียงบู๊ตี่.
  • วัดธรรมญาณ ที่รอผู้มาโปรด โดยสลักที่ก้อนหินไว้ นานกว่า170ปีมาแล้ว
  • ก็คือรอท่านเว่ยหล่างนั่นเอง ซึ่งสลักไว้ดังนี้.
  • "อีกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปีภายภาคหน้า จะมีพระโพธิสัตว์ดำรงกายเนื้ออยู่
  • มาโปรดแสดงพระสัทธรรมมหายาน ณ ที่นี้ จะกอบกู้อุ้มเวไนยฯได้ไม่ประมาณ เป็นธรรมราชาผู้ถ่ายทอดพุทธธรรม ถ่ายทอดวิถีจิตจากพระพุทธะโดยแท้
  • ท่านเว่ยหล่างบวชแล้ว เทศนาว่า เรื่องการทำกุศลดังนี้..
  • สมัยก่อนพระอาจารย์ทวดตักม้อ มหาสังฆปรินายก รับนิมนต์จากองค์ฮ้องเต้

  • กระทั่ง ณ วันที่ ๒๑ ค่ำเดือนเก้า สมัยราชวงศ์เหลียงบู๊ตี้ประมาณปีพุทธศักราช ๑๐๗๐ ท่านจึงมาถึงยังฝั่งเมืองกวางโจว
  • ขณะนั้น พระเจ้าเหลียงบู้ตี๊ พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาพุทธศาสนามาก ทรงถือศีลกินเจอยู่เป็นประจำ เมื่อข่าวการมาถึงของพระอาจารย์ตั๊กม๊อถูกรายงานไปยังราชสำนัก พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ทรงปิติยินดี ยิ่งจึงได้มีพระกระแสรับสั่งให้อาราธนาเข้าเฝ้าทันที
  • ในปีนั้นเองพระอาจารย์ตั๊กม๊อได้รับนิมนต์จากพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ไปยังนานกิงนครหลวงเพื่อถกปัญหาธรรม
  • พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ได้ตรัสถามพระอาจารย์ตั๊กม๊อว่า
  • "ตั้งแต่ข้าพเจ้าครองราชย์มา ได้สร้างวัดวาอาราม โบสถ์วิหาร และพระคัมภีร์มากมาย อีกทั้งอนุญาตให้ผู้คนได้บวช โปรยทาน ถวายภัตตาหารเจแด่พระภิกษุสงฆ์ ตลอดจนทะนุบำรุงพระศาสนามากมาย ไม่ทราบว่าจะได้รับกุศลมากน้อยเพียงใด? " 
  • พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า
  • "ที่มหาบพิตรบำเพ็ญมาทั้งหมด เป็นเพียงบุญกิริยาทางโลกเท่านั้น ยังมิใช่กุศลแต่อย่างใด" 
  • การที่ท่านตอบเช่นนั้น ก็เพราะพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ มีความเข้าพระทัยผิด ดั่งที่แม้ปัจจุบันผู้คนก็จะคิดว่า "บุญ" และ "กุศล"เป็นอย่างเดียวกัน จึงเรียกสับสนปนเปกันไป
  • แท้ที่จริง การให้ทานเงินทอง วัตถุสิ่งของ อาหาร หรือสร้างวัดวาอาราม ฯลฯ เรียกว่า "บุญ" หมายถึง ส่งที่ทำให้ฟูใจทำให้ใจมีปิติอิ่มเอมเท่านั้น ส่วน "กุศล" หมายถึงสิ่งที่จะช่วยขจัดเครื่องกางกั้น ช่วยให้จิตหลุดรอดไปจากสิ่งครอบคลุมห่อหุ้ม"พุทธะจิตธรรมญาณ" 
  • ฉะนั้นกุศลที่แท้ คือ ความรู้แจ้งทางจิตใจคือปัญญาอันผ่องแผ้วสมบูรณ์ เป็นความว่าง สงบจากกิเลส
  • เวลานั้นพระเจ้าเหลี่ยงบู๊ตี้ ทรงตรัสถามอีกว่า
  • "อริยสัจ คืออะไร? " 
  • พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า "ไม่มี" 
  • พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงตรัสถามอีกว่า
  • "เบื้องหน้าข้าพเจ้านี้ คือใคร?" 
  • พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ตอบว่า "ไม่รู้จัก" 
  • พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงได้ยินคำตอบเช่นนั้น ไม่ค่อยพอพระทัย
  • พระอาจารย์ตั๊กม๊อ เห็นว่า พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงสั่งสมภูมิปัญญายังไม่แก่กล้าพอ ที่จะบรรลุได้ จึงทูลลาจากไป
  • เมื่อท่านเดินทางพ้นจากเมืองไปแล้ว พระธรรมาจารย์ปอจี่เชี้ยงซือ คือ พระเถระผู้ทรงปราดเปรื่องรอบรู้พระไตรปิฎกได้เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลถามพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ว่า
  • "พระภิกษุอินเดียรูปนั้น ขณะนี้พำนักอยู่ที่ใด? " 
  • พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงตรัสว่า
  • "จากไปแล้ว.....ท่านเป็นใครหรือ? " 
  • พระธรรมจารย์ ปอจี่เซียงซือ กราบทูลว่า
  • "ท่านคือ พระกวนอิมมหาโพธิสัตว์อวตารมาทีเดียว...ฝ่าพระบาทได้พบท่าน เหมือนไม่ได้พบ ได้เห็นท่าน แต่เหมือนไม่ได้เห็น" 
  • พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ ทรงทราบเช่นนั้นจึงมีพระดำริ จะให้ทหารออกติดตามไปอาราธนาท่านกลับมา ฝ่ายพระธรรมจารย์ปอจีเซียงซือ ได้กราบทูลต่อไปอีกว่า
  • "ไร้ประโยชน์...ถึงจะยกทัพไปแสนนาย ท่านก็ไม่กลับมา"
  • ต่อมาท่านจึงนั่งหันหน้าเข้าฝารอผู้สืบทอด นั่งนาน 9 ปี
  • จึงหันหน้าออกเพื่อรับผู้สืบทอดพงศาธรรมรุ่นที่ 2 คือท่านฮุ่ยเขอ 
  • ท่านฮุ่ยเขอขอสละชีวิต เพื่อพระธรรมแต่อาจารย์ทวดตักม้อ กล่าวว่า..
  • ธรรมะเข้าถึงยากเจ้าจะสละได้หรือ บาปเกิดที่ใดดับที่นั่น จากนั้นท่านจึงตัดแขนถวาย ท่านตักม้อเห็นดังนั้นจึงรับเป็นศิษย์ สืบทอดยาวนานได้ ห้ารุ่น รวมอาจารย์ตักม้อ ถึงท่านเว่ยหล่าง คือรุ่นที่หก นิกายนี้รุ่งเรื่องมากในยุคของท่านเว่ยหล่าง พระสังฆปรินายกรุ่นที่ 6
  • หากชอบโปรดกดติดตามเพจนี้เพื่อชมวีดีโอถัดไป...

เหว่ยหล่าง 8


ท่านเว่ยหล่างตอนที่ 8 
  • ท่านเว่ยหล่าง ตอนนี้รู้สึกว่าชมแล้วจะขนลุกมากที่สุด ไม่เชื่อลองฟังนะ..
  • คนตำข้าวได้เป็นผู้สืบทอดพงศาธรรม
  • พักรักษาตัวกับนายพรานระหว่างการเดินทาง
  • หลังจากท่านปล่อยเสือที่ถูกดักได้ จึงผิดกฎนายพราน จึงถูกแขวนรอความตายบนต้นไม้ 
  • เมื่อครบ 3 คืน ท่านไม่ตายจึงกลับมาที่พัก มาเจอฝูงโจรเข้าปล้นที่พักพอดี 
  • ทางคณะนายพรานเกรงว่าจะถูกฆ่า ท่านเว่ยหล่าง จึงกล่าวพร้อมชูผ้าพระไตรปฎิกว่า.. "อำนาจพุทธคุณช่วยด้วย" (ตอนนี้ขนลุกทุกรอบเมื่อดู) 
  • จากนั้น จึงเกิดลมพัด และแสงผ้ากระทบแสงอาทิตย์บังเกิดแสงจ้า กลุ่มโจรจึงถอยหนีกระเจิงไป แล้วพรานคนที่ พยายามฆ่าท่านมาหลายครั้ง 
  • จึงกล่าวว่า "ทำไมต้องมาช่วยข้า ทำไมต้องช่วยข้าด้วย". ท่านเว่ยหล่างตอบคนที่จะฆ่าท่านตั้งหลายครั้งว่า. "เพราะว่าเจ้าคือเพื่อนรักของข้า" แล้วท่านจึงเดินจากไป พร้อมๆ ความอึ้งของนายพรานว่า ท่านเว่ยหล่างคือพระ
  • ท่านนั้นจากไปมุ่งลงใต้เพื่อสู่วัดธรรมญาณ เพื่อออกบวชสืบทอดสังฆปรินายกรุ่นที่ 6 
*หมายเหตุ 
  • แม้แต่คนพยายามฆ่าผู้มีธรรมในใจของท่าน ยังมีเมตตาต่อคนเหล่านั้นว่าเพื่อนรักของข้า..
  • จากนั้นเมื่องถึงจุดหมายคนรอต้อนรับมากมาย
  • ท่านเห็นหลวงจีนเถียงกันว่า. ลมโบกธงไหว หรือธงโบกลมไหว ท่านเว่ยหล่างจึงบอกว่า " ใจท่านต่างหากที่ไหว"
  • ตอนนี่ถึงที่วัดนัดพบแล้วชื่อวัดธรรมญาณ ที่รอผู้มาโปรดที่นี้ โดยสลักที่ก้อนหินไว้ นานกว่า 170 ปีมาแล้ว ก็คือรอท่านเว่ยหล่างนั่นเอง ซึ่งสลักไว้ดังนี้.
  • "อีกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปีภายภาคหน้า จะมีพระโพธิสัตว์ดำรงกายเนื้ออยู่ มาโปรดแสดงพระสัทธรรมมหายาน ณ ที่นี้ จะกอบกู้อุ้มเวไนยฯ ได้ไม่ประมาณ เป็นธรรมราชาผู้ถ่ายทอดพุทธธรรม ถ่ายทอดวิถีจิตจากพระพุทธะโดยแท้"
  • หากชอบโปรดกดติดตามเพจนี้ชมวีดีโอถัดไป อามีทอฝอ

เหว่ยหล่าง 7


ท่านเว่ยหล่างตอนที่ 7
  • ท่านเว่ยหล่างรับผ้าสืบทอด สังฆปรินายกรุ่นที่6 ระหว่างเดินทางลงใต้ สู่วัดธรรมยาน มาดูว่าท่านรอดชีวิตมาได้อย่างไร 
  • ฝากติดตามชมกันน้า..

  • มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนแต่มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน ทรงความศักดิ์สิทธิ์เสมอกันเพราะมี "ธรรมญาณ" เป็นเช่นเดียวกัน 
  • แต่ที่มนุษย์แตกต่างกันก็เพราะ บาปเวรกรรม สร้างมาไม่เหมือนกัน ความผิดแผกกันตรงนี้จึงไม่สมควรแบ่งแยกมนุษย์ให้ต่ำสูงไม่เท่ากัน 
  • มนุษย์มักเอาสิ่งที่มองเห็นมาเปรียบเทียบแบ่งแยกซึ่งกันและกัน และดูถูกดูแคลนกัน จนเกิดปัญหาความไม่เข้าใจกัน และสร้างเวรกรรมต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด 
  • อาการติดยึดในรูปลักษณ์ทั้งปวง จึงทำให้มนุษย์มีกังวลและเป็นทุกข์ เมื่อรูปนั้นพังทลายลงไป ในโลกนี้จึงไม่มีใครสามารถรักษารูปลักษณ์ให้เป็นอมตะได้เลย 
  • ด้วยเหตุความหลงเช่นนี้ จึงทำให้การวินิจฉัยปัญหาทั้งมวลผิดพลาดไปได้โดยง่าย เมื่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงประกาศจักละทิ้งกายสังขาร 
  • ท่านฝ่าไห่ ซึ่งเป็นศิษย์อาวุโสจึงเรียนถามว่า "เมื่อพระคุณท่านเข้าปรินิพพาานแล้ว ใครจะเป็นผู้ได้รับมอบบาตร จีวร และ ธรรมต่อไป" 
  • "สำหรับคำสอนของฉันทั้งหมด นับแต่ได้กล่าวเทศนาในวัดต้าฝัน ตราบจนบัดนี้ จงคัดลอกเป็นเล่มแล้วแจกจ่ายกันไปก็ได้ แต่ให้ชื่อว่า สูตรอันประกาศบนมหาบัลลังก์แห่งธรรมรถ 
  • เพื่อช่วยเหลือสัตว์ทั้งปวง บุคคลที่สั่งสอนตามคำสอนนี้ เป็นผู้สั่งสอนตามธรรมแท้ พอแล้วสำหรับธรรม ส่วนการรับช่วงจีวรนั้น ถือเป็นการสิ้นสุดกัน 
  • เพราะเหตุใดหรืือ เพราะว่าท่านทั้งหลายต่างก็ศรัทธาต่อคำสอนของฉันโดยพร้อมมูล ทั้งท่านก็ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ แล้ว 
  • ท่านสามารถสืบต่อจุดประสงค์อันสูงส่งของสำนักเราให่ลุล่วงไปได้ นอกจากนั้น ตามความหมายในโศลกของท่านโพธิธรรม 
  • พระธรรมาจารย์องค์แรกผู้ถ่ายทอดพระธรรมและบาตร จีวร ท่านก็ไม่ประสงค์จะมอบให้แก่ใครต่อไปอีก โศลกนั้นคือ " จุดประสงค์ในการมาดินแดนนี้ ก็เพื่อถ่ายทอดพระธรรม สำหรับปลดปล่อยสัตว์ที่ถูกครอบงำไว้ด้วยความหลงผิด เมื่อมีกลีบครบห้ากลีบ ดอกไม้นั้นก็สมบูรณ์ หลังจากนั้น ผลจะปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติ " 
  • ความหมายแห่งคำกล่าวของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง เกี่ยวกับการส่งมอบตำแหน่งพระธรรมาจารย์สมัยต่อไป เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง 
  • นับแต่พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระธรรมาจารย์สมัยที่หนึ่งของอินเดีย มาจนถึงพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง การส่งมอบตำแหน่งพระธรรมาจารย์อาศัยจีวรและบาตร เป็นเครื่องหมายแห่งตำแหน่งและฐานะผู้แบกรับพระโองการสวรรค์อันชัดเจน เพื่อสืบต่อเป็นพงศาธรรม การสืบต่อ ยังคงรักษาพงศาธรรมเอาไว้ไม่ขาดสาย
  • แต่นับจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแล้ว ดอกไม้ก็สมบูรณ์บานครบห้ากลีบ ผลย่อมปรากฏเอง ความหมายก็คือ การสืบต่อพระโองการสวรรค์ย่อมแสดงได้ด้วยการบำเพ็ญปฏิบัติ 
  • โดยอาศัยผลแห่งการปฏิบัตินั้นเป็นจริงขึ้นมาเอง ผู้ได้รับมอบหมายสืบต่อพงศาธรรม เมื่อมีพระโองการอยู่กับตัว การปฏิบัติบำเพ็ญ ย่อมปรากฏผลชัดเจนโดยใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ มิใช่บาตรและจีวรดังแต่ก่อน 
  • พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย จงชำระจิตของท่านให้ บริสุทธิ์และฟังฉันพูด ใครที่ปรารถนาจะบรรลุปัญญาของพุทธะ ซึ่งรู้ไปในทุก ๆ สิ่ง 
  • เขาก็ควรรู้จัก สมาธิเฉพาะวัตถุประสงค์และสมาธิ เฉพาะแบบในทุกกรณี เราควรเปลื้องตนออกเสียจากความผูกพันธ์ในวัตถุทั้งหลาย และวางท่าทีต่อสิ่งเหล่านั้นให้เป็นกลาง 
  • ไม่ยินดียินร้าย อย่าปล่อยให้ชัยชนะหรือความปราชัย และการได้มา หรือการสูญเสีย ก่อความกังวลแก่เราได้ จงสงบและเยือกเย็น จงสุภาพและอารีอารอบ จงซื่อตรงและเที่ยงธรรม 
  • สิ่งเหล่านั้นคือ สมาธิเฉพาะวัตถุประสงค์ในทุก ๆ โอกาสไม่ว่าเราจะ ยืน เดิน นั่ง หรือนอน จงเป็นคนตรงแน่ว เราก็จะดำรงอยู่ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และไม่ต้องเคลื่อนไหวแม้สักน้อย 
  • เราก็เหมือนอยู่ในอาณาจักรแห่งดินแดนบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้คือ สมาธิเฉพาะแบบ ผุ้ปฏิบัติตามสมาธิทั้งสองอย่างนี้ได้ครบถ้วนแล้ว ก็เสมือนกับเนื้อนาที่ได้หว่านเมล็ดพืชลงไป แล้วกลบไว้ด้วยโคลน เมล็ดพืชจึงได้รับการบำรุงและเจริญเติบโต ตราบจนกระทั่งผลิผล" 
  • ความหมายแห่งคำกล่าวนี้ ชี้ให้เห็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า การสดับพระธรรมหรือคำพูดทุกอย่าง หากภายในใจของเรายังติดอยู่กับสิ่งใด 
  • คำพูดมิอาจฝ่าฟันไปสู่ความเข้าใจของเขาได้เลย เสมือนหนึ่งน้ำเต็มแก้ว ย่อมเติมลงไปมิได้ฉันใดก็ฉันนั้น 
  • พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "คำสอนของฉันในขณะนี้ ไม่ผิดอะไรกับฝนตกตามฤดูกาล ซึ่งจะนำความชุ่มชื้นมาสู่ผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งมีอยู่ภายใน เสมือนหนึ่งกับเมล็ดพืชที่ได้รับความชุ่มชื้นจากสายฝน ย่อมจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ใครที่ปฏิบัติตามคำสอนของฉัน ย่อมได้บรรลุถึงโพธิอย่างแน่นอน ใครที่ดำเนินตามคำสอนของฉันย่อมได้รับผลอันสูงเลิศเป็นแน่แท้ จงฟังโศลกดังนี้ "
  • " เมล็ดพืชแห่งพุทธะ แฝงอยู่ในจิตของเราย่อมงอกงามตามสายฝน ที่ซึมซาบไปในทุกสิ่ง ดอกไม้แห่งหลักธรรม เมื่อได้ผลิออกมาด้วยปัญญาญาณ ผู้นั้นย่อมแน่แท้ ที่จะเก็บเกี่ยวผลแห่งการตรัสรู้"
  • " มนุษย์ทุกคนจึงมีภาวะแห่ง พุทธะ คือผู้รู้อยู่แล้วในตัวเอง ไม่มีใครมีมากหรือน้อยกว่ากัน แต่เหตุที่ไม่อาจบรรลุธรรมเท่าเทียมกันเป็นเพราะวิบากกรรมปิดบังปัญญาญาณของตนเองจนมือมิด แต่เมื่อใดที่เขาได้ใช้ปัญญาของตนเองแล้ว ย่อมเข้าสู่หนทางแห่งการรู้ตัวเองอย่างแท้จริง "
  • "คำว่า ตรัสรู้ หมายความว่าอย่างไร" "ปุจฉา " "แปลว่า รู้เองไม่ต้องมีใครมาสั่งสอน" 
  • "วิสัชนา " "คำตอบอย่างนี้ใคร ๆ ก็ตอบได้ ไม่เห็นเข้าใจเลย"
  • "อย่างนั้น ถ้าเอาคำว่า พุทธะ มารวมกันเข้าก้อาจเข้าใจได้มากขึ้น เพราะคำนี้มีความหมายว่า ผู้รู้ มิได้หมายความรู้อะไรข้างนอกตัวเองเลย 
  • แต่รู้ทุกข์รู้สุข รู้ความเคลื่อนไหวในจิตของตนเอง สรุปอย่างสั้นและง่ายก็คือ รู้กิเลสตนเอง นั่นเอง รู้แล้วสามารถชำระ และตัดมันออกไปได้โดยเด็ดขาด อย่างนี้จึงเรียกว่า ตรัสรู้ 
  • กรณีเช่นนี้ไม่มีใครช่วยเราได้เลย นอกจากตัวเองทั้งนั้น รู้เองแก้เอง " 
  • "ใคร ๆ ก็ทำได้อย่างนั้นหรือ" " ถาม " "แน่นอน เพราะทุกคนมีภาวะ พุทธะ ในตัวเองอยู่แล้ว" "ตอบ