วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เหว่ยหล่าง 7


ท่านเว่ยหล่างตอนที่ 7
  • ท่านเว่ยหล่างรับผ้าสืบทอด สังฆปรินายกรุ่นที่6 ระหว่างเดินทางลงใต้ สู่วัดธรรมยาน มาดูว่าท่านรอดชีวิตมาได้อย่างไร 
  • ฝากติดตามชมกันน้า..

  • มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนแต่มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน ทรงความศักดิ์สิทธิ์เสมอกันเพราะมี "ธรรมญาณ" เป็นเช่นเดียวกัน 
  • แต่ที่มนุษย์แตกต่างกันก็เพราะ บาปเวรกรรม สร้างมาไม่เหมือนกัน ความผิดแผกกันตรงนี้จึงไม่สมควรแบ่งแยกมนุษย์ให้ต่ำสูงไม่เท่ากัน 
  • มนุษย์มักเอาสิ่งที่มองเห็นมาเปรียบเทียบแบ่งแยกซึ่งกันและกัน และดูถูกดูแคลนกัน จนเกิดปัญหาความไม่เข้าใจกัน และสร้างเวรกรรมต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด 
  • อาการติดยึดในรูปลักษณ์ทั้งปวง จึงทำให้มนุษย์มีกังวลและเป็นทุกข์ เมื่อรูปนั้นพังทลายลงไป ในโลกนี้จึงไม่มีใครสามารถรักษารูปลักษณ์ให้เป็นอมตะได้เลย 
  • ด้วยเหตุความหลงเช่นนี้ จึงทำให้การวินิจฉัยปัญหาทั้งมวลผิดพลาดไปได้โดยง่าย เมื่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงประกาศจักละทิ้งกายสังขาร 
  • ท่านฝ่าไห่ ซึ่งเป็นศิษย์อาวุโสจึงเรียนถามว่า "เมื่อพระคุณท่านเข้าปรินิพพาานแล้ว ใครจะเป็นผู้ได้รับมอบบาตร จีวร และ ธรรมต่อไป" 
  • "สำหรับคำสอนของฉันทั้งหมด นับแต่ได้กล่าวเทศนาในวัดต้าฝัน ตราบจนบัดนี้ จงคัดลอกเป็นเล่มแล้วแจกจ่ายกันไปก็ได้ แต่ให้ชื่อว่า สูตรอันประกาศบนมหาบัลลังก์แห่งธรรมรถ 
  • เพื่อช่วยเหลือสัตว์ทั้งปวง บุคคลที่สั่งสอนตามคำสอนนี้ เป็นผู้สั่งสอนตามธรรมแท้ พอแล้วสำหรับธรรม ส่วนการรับช่วงจีวรนั้น ถือเป็นการสิ้นสุดกัน 
  • เพราะเหตุใดหรืือ เพราะว่าท่านทั้งหลายต่างก็ศรัทธาต่อคำสอนของฉันโดยพร้อมมูล ทั้งท่านก็ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ แล้ว 
  • ท่านสามารถสืบต่อจุดประสงค์อันสูงส่งของสำนักเราให่ลุล่วงไปได้ นอกจากนั้น ตามความหมายในโศลกของท่านโพธิธรรม 
  • พระธรรมาจารย์องค์แรกผู้ถ่ายทอดพระธรรมและบาตร จีวร ท่านก็ไม่ประสงค์จะมอบให้แก่ใครต่อไปอีก โศลกนั้นคือ " จุดประสงค์ในการมาดินแดนนี้ ก็เพื่อถ่ายทอดพระธรรม สำหรับปลดปล่อยสัตว์ที่ถูกครอบงำไว้ด้วยความหลงผิด เมื่อมีกลีบครบห้ากลีบ ดอกไม้นั้นก็สมบูรณ์ หลังจากนั้น ผลจะปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติ " 
  • ความหมายแห่งคำกล่าวของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง เกี่ยวกับการส่งมอบตำแหน่งพระธรรมาจารย์สมัยต่อไป เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง 
  • นับแต่พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระธรรมาจารย์สมัยที่หนึ่งของอินเดีย มาจนถึงพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง การส่งมอบตำแหน่งพระธรรมาจารย์อาศัยจีวรและบาตร เป็นเครื่องหมายแห่งตำแหน่งและฐานะผู้แบกรับพระโองการสวรรค์อันชัดเจน เพื่อสืบต่อเป็นพงศาธรรม การสืบต่อ ยังคงรักษาพงศาธรรมเอาไว้ไม่ขาดสาย
  • แต่นับจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแล้ว ดอกไม้ก็สมบูรณ์บานครบห้ากลีบ ผลย่อมปรากฏเอง ความหมายก็คือ การสืบต่อพระโองการสวรรค์ย่อมแสดงได้ด้วยการบำเพ็ญปฏิบัติ 
  • โดยอาศัยผลแห่งการปฏิบัตินั้นเป็นจริงขึ้นมาเอง ผู้ได้รับมอบหมายสืบต่อพงศาธรรม เมื่อมีพระโองการอยู่กับตัว การปฏิบัติบำเพ็ญ ย่อมปรากฏผลชัดเจนโดยใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ มิใช่บาตรและจีวรดังแต่ก่อน 
  • พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย จงชำระจิตของท่านให้ บริสุทธิ์และฟังฉันพูด ใครที่ปรารถนาจะบรรลุปัญญาของพุทธะ ซึ่งรู้ไปในทุก ๆ สิ่ง 
  • เขาก็ควรรู้จัก สมาธิเฉพาะวัตถุประสงค์และสมาธิ เฉพาะแบบในทุกกรณี เราควรเปลื้องตนออกเสียจากความผูกพันธ์ในวัตถุทั้งหลาย และวางท่าทีต่อสิ่งเหล่านั้นให้เป็นกลาง 
  • ไม่ยินดียินร้าย อย่าปล่อยให้ชัยชนะหรือความปราชัย และการได้มา หรือการสูญเสีย ก่อความกังวลแก่เราได้ จงสงบและเยือกเย็น จงสุภาพและอารีอารอบ จงซื่อตรงและเที่ยงธรรม 
  • สิ่งเหล่านั้นคือ สมาธิเฉพาะวัตถุประสงค์ในทุก ๆ โอกาสไม่ว่าเราจะ ยืน เดิน นั่ง หรือนอน จงเป็นคนตรงแน่ว เราก็จะดำรงอยู่ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และไม่ต้องเคลื่อนไหวแม้สักน้อย 
  • เราก็เหมือนอยู่ในอาณาจักรแห่งดินแดนบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้คือ สมาธิเฉพาะแบบ ผุ้ปฏิบัติตามสมาธิทั้งสองอย่างนี้ได้ครบถ้วนแล้ว ก็เสมือนกับเนื้อนาที่ได้หว่านเมล็ดพืชลงไป แล้วกลบไว้ด้วยโคลน เมล็ดพืชจึงได้รับการบำรุงและเจริญเติบโต ตราบจนกระทั่งผลิผล" 
  • ความหมายแห่งคำกล่าวนี้ ชี้ให้เห็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า การสดับพระธรรมหรือคำพูดทุกอย่าง หากภายในใจของเรายังติดอยู่กับสิ่งใด 
  • คำพูดมิอาจฝ่าฟันไปสู่ความเข้าใจของเขาได้เลย เสมือนหนึ่งน้ำเต็มแก้ว ย่อมเติมลงไปมิได้ฉันใดก็ฉันนั้น 
  • พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "คำสอนของฉันในขณะนี้ ไม่ผิดอะไรกับฝนตกตามฤดูกาล ซึ่งจะนำความชุ่มชื้นมาสู่ผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งมีอยู่ภายใน เสมือนหนึ่งกับเมล็ดพืชที่ได้รับความชุ่มชื้นจากสายฝน ย่อมจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ใครที่ปฏิบัติตามคำสอนของฉัน ย่อมได้บรรลุถึงโพธิอย่างแน่นอน ใครที่ดำเนินตามคำสอนของฉันย่อมได้รับผลอันสูงเลิศเป็นแน่แท้ จงฟังโศลกดังนี้ "
  • " เมล็ดพืชแห่งพุทธะ แฝงอยู่ในจิตของเราย่อมงอกงามตามสายฝน ที่ซึมซาบไปในทุกสิ่ง ดอกไม้แห่งหลักธรรม เมื่อได้ผลิออกมาด้วยปัญญาญาณ ผู้นั้นย่อมแน่แท้ ที่จะเก็บเกี่ยวผลแห่งการตรัสรู้"
  • " มนุษย์ทุกคนจึงมีภาวะแห่ง พุทธะ คือผู้รู้อยู่แล้วในตัวเอง ไม่มีใครมีมากหรือน้อยกว่ากัน แต่เหตุที่ไม่อาจบรรลุธรรมเท่าเทียมกันเป็นเพราะวิบากกรรมปิดบังปัญญาญาณของตนเองจนมือมิด แต่เมื่อใดที่เขาได้ใช้ปัญญาของตนเองแล้ว ย่อมเข้าสู่หนทางแห่งการรู้ตัวเองอย่างแท้จริง "
  • "คำว่า ตรัสรู้ หมายความว่าอย่างไร" "ปุจฉา " "แปลว่า รู้เองไม่ต้องมีใครมาสั่งสอน" 
  • "วิสัชนา " "คำตอบอย่างนี้ใคร ๆ ก็ตอบได้ ไม่เห็นเข้าใจเลย"
  • "อย่างนั้น ถ้าเอาคำว่า พุทธะ มารวมกันเข้าก้อาจเข้าใจได้มากขึ้น เพราะคำนี้มีความหมายว่า ผู้รู้ มิได้หมายความรู้อะไรข้างนอกตัวเองเลย 
  • แต่รู้ทุกข์รู้สุข รู้ความเคลื่อนไหวในจิตของตนเอง สรุปอย่างสั้นและง่ายก็คือ รู้กิเลสตนเอง นั่นเอง รู้แล้วสามารถชำระ และตัดมันออกไปได้โดยเด็ดขาด อย่างนี้จึงเรียกว่า ตรัสรู้ 
  • กรณีเช่นนี้ไม่มีใครช่วยเราได้เลย นอกจากตัวเองทั้งนั้น รู้เองแก้เอง " 
  • "ใคร ๆ ก็ทำได้อย่างนั้นหรือ" " ถาม " "แน่นอน เพราะทุกคนมีภาวะ พุทธะ ในตัวเองอยู่แล้ว" "ตอบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น